อาชีพการงานด้านการเมือง ของ อีเลียต สปิตเซอร์

พ.ศ. 2537 สปิตเซอร์วางมือจากการทำงานเอกชน เพื่อหันมาทุ่มเทให้กับการชิงตำแหน่งหัวหน้าอัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งต่อมา พ.ศ. 2541 เขาก็ได้รับเลือกตั้งในที่สุด และตั้งแต่นั้นมา เขาก็กลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองพรรคเดโมแครตที่โดดเด่นที่สุดในรัฐนิวยอร์ก เขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

การหาเสียงชิงตำแหน่งหัวหน้าอัยการสูงสุด

ในปีพ.ศ. 2537 หัวหน้าอัยการสูงสุดจากพรรคเดโมแครตผู้รับตำแหน่งมาอย่างยาวนาน โรเบิร์ต อับรามส์ (Robert Abrams) ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถเอาชนะ อัล ดามาโต้ (Al D'Amato) ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้ สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนเห็นจุดอ่อนใน จี โอลิเวอร์ คอปเปลล์ (G. Oliver Koppell) ผู้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าอัยการสูงสุดแทนให้ครบวาระ และต่างเสนอตัวชิงตำแหน่ง สปิตเซอร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นเขายังอายุน้อยและไม่เป็นที่รู้จัก ถึงแม้จะได้เงินสนับสนุนจำนวนมากจากครอบครัวของเขาเอง ผลลัพธ์การหาเสียงคือ เขาได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับสุดท้ายในบรรดาผู้สมัครเป็นตัวแทน 4 คน โดยผู้ชนะคือ ผู้พิพากษาแคเร็น เบิร์นสไตน์ (Karen Burnstein) แต่ต่อมา เบิร์นสไตน์ก็แพ้เดนนิส แวคโค จากพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งทั่วไป

พ.ศ. 2541 สปิตเซอร์สมัครลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งอีกครั้ง เขาเอาชนะ คอปเปลล์, สมาชิกวุฒิสภา แคเธอรีน แอ็บเบท (Catherine Abbate), สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เจฟฟ์ ออร์ลิค (Jeff Orlick) และอดีตที่ปรึกษาผู้ว่าการ ชาร์ลส์ เดวิส (Charles Davis) ได้ในการเลือกตั้งไพรมารี (primary) ของพรรคเดโมแครต ต่อมา เขาเอาชนะแวคโคซึ่งดำรงตำแหน่งในตอนนั้นด้วยคะแนน 48.2 เปอร์เซ็นต์ ต่อคะแนน 47.6 เปอร์เซ็นต์ ของที่แวคโคได้รับ สปิตเซอร์เลือกตั้งใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2545 โดยมีคู่แข่งเป็นผู้พิพากษาจากพรรครีพับลิกัน ดอร่า อิริซาร์รี่ โดยสปิตเซอร์ชนะด้วยคะแนนเสียง 66 เปอร์เซ็นต์

การหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2547 สปิตเซอร์ประกาศความตั้งใจของเขาในการชิงตำแหน่งตัวแทนของพรรคเดโมแครตสำหรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ถึงแม้จะมีข่าวลือมานานแล้ว แต่การประกาศตัวของสปิตเซอร์นั้นก็ยังรวดเร็วผิดปกติ คือ เกือบ 2 ปีก่อนจะมีการเลือกตั้ง เนื่องจากสปิตเซอร์สามารถได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตที่มีตำแหน่งในภาครัฐอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้รับความเคารพจากผู้นำในพรรคเดโมแครตทั่วประเทศ ผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) บิลล์ ริชาร์ดสัน (Bill Richardson) กล่าวถึง สปิตเซอร์ ว่าเป็น "อนาคตของพรรคเดโมแครต" ในงานระดมทุนสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งของสปิตเซอร์ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548

เดิอนมกราคม พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์เลือกผู้นำวุฒิสมาชิกเสียงข้างน้อยประจำรัฐนิวยอร์ก เดวิด แพเทอร์สัน (David Paterson) เป็นว่าที่รองผู้ว่าฯ และผู้ช่วยหาเสียง หลังจากประกาศการลงสมัครเลือกตั้ง สปิตเซอร์ก็ได้รับการรับรองจากชาวนิวยอร์กหลายคน รวมถึงอธิบดีกรมบัญชีประจำรัฐ (Comptroller) อลัน เฮเวซี่ (Alan Hevesi) และอดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก 2 คน คือ เดวิด ดิงกินส์ (David Dinkins) และ เอ็ด ค็อค (Ed Koch) ในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์ และ แพเทอร์สันชนะการรับรองจากพรรคเดโมแครตประจำรัฐนิวยอร์ก จากโพลล์เลือกตั้งประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ของชาวควินนิพิแอ็ค (Quinnipiac)-ซึ่งเป็นชาวอเมริกันพื้นเมือง (หรืออินเดียนแดง)เผ่าหนึง-สปิตเซอร์ได้รับความนิยมนำหน้าผู้บริหารประจำแนสซาว เค้าน์ตี้ (Nassau County Executive) โธมัส ซูสซี่ (Thomas Suozzi) ด้วยคะแนน 76 ต่อ 13 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เขาเผชิญหน้าซูสซี่ในการโต้วาทีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ ณ มหาวิทยาลัยเพซ (Pace University) ในแมนฮัตตัน (Manhattan) โดยอภิปรายกันในหัวข้อหน่วยงานสาธารณะและเมดิเคด (Medicaid : ระบบช่วยเหลือด้ายสุขภาพสำหรับบุคคลและครอบครัวซึ่งมีรายได้ต่ำ) เมื่อถูกถามเรื่องกัญชา สปิตเซอร์กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยในการใช้กัญชาในทางการแพทย์ โดยอ้างว่าตัวยาชนิดอื่นมีประสิทธิผลมากกว่า ในการเลือกตั้งไพรมารี่ของพรรคเดโมแครตซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2549 สปิตเซอร์เอาชนะซูสซี่และได้เป็นตัวแทนของพรรคด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 81

วันที่ 5 ตุลาคม สปิตเซอร์กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มรักร่วมเพศ เอ็มไพร์ สเตท ไพรด์ อเจ็นด้า (Empire State Pride Agenda) ว่าถ้าเขาได้เป็นผู้ว่าการ เขาจะผ่านกฎหมายอนุญาตให้เกย์แต่งงานได้ในรัฐนิวยอร์ก

สปิตเซอร์ได้รับการเลือกตั้งเป็ฯผู้ว่าการในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2549 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 69 เอาชนะจอห์น ฟาโซจากพรรครีพับลิกัน และจอห์น คลิฟตั้น (John Clifton) จากพรรคลิเบอร์แทเรียน (Libertarian Party)